พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ [1. เทวทหวรรค] 1. เทวทหสูตร
4. ถ้าหมู่สัตว์เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งอภิชาติ1 นิครนถ์ทั้งหลาย พึงเป็นผู้มีอภิชาติเลวแน่ จึงเป็นเหตุให้พวกเขาเสวยทุกขเวทนากล้า เผ็ดร้อนเห็นปานนี้ในบัดนี้
เชิงอรรถ : 1 อภิชาตินี้มี 2 ประการ คือ 1. อภิชาติที่ปูรณะ กัสสปะ บัญญัติไว้มี 6 ประการ คือ 1.กัณหาภิชาติ ผู้ที่มีชาติดำ ได้แก่ คนฆ่าแพะ คนฆ่าสุกร คนฆ่านก พรานเนื้อ ชาวประมง โจร เพชฌฆาต เจ้าหน้าที่เรือนจำหรือคนงานชั้นต่ำและหยาบช้า 2.นีลาภิชาติ ผู้ที่มีชาติเขียว ได้แก่ พวกภิกษุที่ฝักใฝ่ในธรรมฝ่ายดำ พวกกรรมวาทะตลอดจน พวกกิริยวาทะอื่น ๆ 3.โลหิตาภิชาติ ผู้มีชาติแดง ได้แก่ พวกนิครนถ์ที่ใช้ผ้าผืนเดียว 4.หลิททาภิชาติ ผู้มีชาติเหลือง ได้แก่ คฤหัสถ์ผู้สวมใส่ผ้าขาวซึ่งเป็นสาวกของพวกอเจลก (นักบวช เปลือยกาย) 5.สุกกาภิชาติ ผู้มีชาติขาว ได้แก่ นักบวชที่เรียกตัวเองว่าอาชีวกและอาชีวิกา 6.ปรมสุกกาภิชาติ ผู้มีชาติขาวอย่างยิ่ง ได้แก่ เจ้าลัทธิชื่อนันทวัจฉโคตร, สังกิจจโคตร และมักขลิ โคสาล 2. อภิชาติที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้มี 6 ประการ คือ 1.บุคคลผู้มีชาติดำและประพฤติธรรมดำ ได้แก่ ผู้ที่เกิดในตระกูลคนจัณฑาล เป็นต้น แล้วยัง ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นตายแล้วย่อมบังเกิดในอบายภูมิ 2.บุคคลผู้มีชาติดำแต่ประพฤติธรรมขาว ได้แก่ ผู้ที่เกิดในตระกูลคนจัณฑาล เป็นต้น แต่เขา ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นตายแล้วย่อมบังเกิดในสุคติภูมิ 3.บุคคลผู้มีชาติดำแต่บรรลุนิพพานซึ่งเป็นธรรมไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ ผู้ที่เกิดในตระกูลคนจัณฑาล แต่พวกเขาออกบวชเป็นบรรพชิต ละนิวรณ์ได้ เจริญสติปัฏฐานและโพชฌงค์จนตรัสรู้ธรรมตาม ความเป็นจริง และบรรลุนิพพานในที่สุด 4.บุคคลผู้มีชาติขาวแต่ประพฤติธรรมดำ ได้แก่ ผู้ที่เกิดในขัตติยตระกูล เป็นต้น แล้วประพฤติ ทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นตายแล้วย่อมบังเกิดในอบายภูมิ 5.บุคคลผู้มีชาติขาวและประพฤติธรรมขาว ได้แก่ ผู้ที่เกิดในขัตติยตระกูล เป็นต้น แล้วประพฤติ สุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นตายแล้วย่อมบังเกิดในสุคติภูมิ 6.บุคคลผู้มีชาติขาวและบรรลุนิพพานซึ่งเป็นธรรมไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ ผู้ที่เกิดในขัตติยตระกูล เป็นต้น แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต ละนิวรณ์ได้ เจริญสติปัฏฐานและโพชฌงค์จนตรัสรู้ธรรม ตามเป็นจริงและบรรลุนิพพานในที่สุด (ที.ปา. (แปล) 11/329/329, องฺ.ฉกฺก. (แปล) 22/57/543-547) ในที่นี้หมายเอา อภิชาติ 6 ที่ปูรณะ กัสสปะ บัญญัติไว้ (ม.อุ.อ. 3/9/6, ม.อุ.ฏีกา 3/9/256) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 14 หน้า :13 }